เอ๊ะ! โรคไลม์ติดเชื้อจากไหน ?
โรคไลม์ (Lyme disease) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย Borrelia จัดอยู่ในกลุ่ม spirochetes ที่แพร่กระจายเชื้อผ่านเห็บจากการโดนเห็บชนิด blacklegged หรือ deer tick กัด ตัวเห็บจะบวมและปล่อยเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางผิวหนัง โดยเห็บจะเกาะอยู่บนตัวอย่างน้อย 24 – 48 ชม.จึงจะแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ เห็บชนิด blacklegged ไม่กระโดหรือบิน มันจะไต่บนหญ้าหรือพุ่มไม้แล้วจะกางขาด้านบนออกและเกาะบนตัวคนหรือสัตว์ที่มันเจอ โดยเห็บสามารถดูดเลือดและเกาะทุกส่วนของร่างกายได้ แต่มักจะพบในบริเวณที่ไม่สะดุดตา เช่น รักแร้ ขาหนีบ หนังศีรษะ
โรคไลม์เป็นได้ทั้งคนและสัตว์
สัตว์ที่สามารถเป็นโรคไลม์ได้นั้น เช่น สัตว์เลื้อยคลานตัวเล็ก นก สุนัข แมว วัว กวางหางขาว สัตว์ฟันแทะทั้งหลาย แรคคูน ม้า หนูไมซ์ กระรอก เป็นต้น ในสัตว์จะติดโรคไลม์จากการถูกเห็บที่มีเชื้อกัด โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะขนาดเล็กและกวางสามารถเป็นพาหะของเชื้อได้ตามธรรมชาติ ซึ่งสัตว์ที่ติดเชื้อโรคไลม์จะไม่ค่อยแสดงอาการอย่าง สุนัขอาจใช้เวลานานถึง 5 เดือนจึงแสดงอาการป่วย หรือม้าและวัวจะไม่แสดงอาการของโรคเลย ส่วนใหญ่โรคจะหายไปเองแต่บางตัวอาจป่วยนานและอาจพบปัญหาที่ไตหรือหัวใจซึ่งสามารถทำให้เสียชีวิตได้
ส่วนในคนก็สามารถติดเชื้อโรคไลม์ได้เช่นกัน โดยจะถูกเห็บที่มีเชื้อกัด ซึ่งเห็บต้องเกาะอยู่อย่างน้อย 24 ชม.จึงสามารถแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ โรคไลม์ในคนอาจไม่แสดงอาการป่วยเลยหรืออาจมีอาการรุนแรงมากก็ได้ ซึ่งอาจเริ่มแสดงอาการ 1 – 2 สัปดาห์หลังจากถูกเห็บกัด
ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไลม์
-
ทำกิจกรรมนอกบ้านที่มีเห็บเยอะทั้งทำสวน เดินป่า พาสัตว์ออกไปเดินเล่นสวนสาธารณะ
-
เดินผ่านพื้นที่ที่มีหญ้าสูงซึ่งบริเวณนั้นอาจมีการแพร่ระบาดของโรคไลม์อยู่
-
เดินทางไปเที่ยวแถบตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกตอนกลางของอเมริกา รวมถึงแถบยุโรป จีน ญี่ปุ่น ตุรกี และบางพื้นที่ของรัสเซียก็เสี่ยงต่อการเกิดโรค
-
นำสัตว์เลี้ยงเข้ามาภายในบ้าน
ภาวะแทรกซ้อน
หากเป็นโรคไลม์แล้วเข้ารับการรักษาได้เร็วผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้เร็ว แต่ถ้าปล่อยไว้นานและไม่ได้รับการรักษาสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ คือ
-
ข้ออักเสบเรื้อรัง ปวดข้อกระดูกโดยเฉพาะข้อเข่า
-
มีอาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ คอแข็ง ปวดศีรษะรุนแรง
-
หัวใจเต้นผิดจังหวะ มีอาการทางระบบประสาท เช่น หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว มีปัญหาด้านการมองเห็น
-
ระยะหลังสามารถพบอาการอื่นๆได้ด้วย เช่น ความจำเสื่อม หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียว นอนไม่หลับ เส้นประสาทแขนขาได้รับความเสียหาย เป็นต้น
อาการที่พบเมื่อติดเชื้อ
หลังจากโดนเห็บกัดแล้วประมาณ 1 -2 สัปดาห์ผู้ที่ติดเชื้อจะมีผื่นแดงคล้ายเป้ายิงปืนเป็นวงสีแดงซ้อนกัน 2 วงตรงที่โดนกัด แต่จะไม่รู้สึกปวดหรือคัน ซึ่งลักษณะผื่นแดงที่ขึ้นอาจไม่พบในทุกคนที่ติดเชื้อ หรือบางคนมีผื่นแดงแข็งๆ หรือมีลักษณะคล้ายแผลฟกช้ำในผู้ที่มีผิวสีคล้ำ หลังจากนั้น ไม่กี่สัปดาห์เชื้อแบคทีเรียจะแพร่ไปทั่วร่างกายทำให้มีอาการ
-
เป็นไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ
-
ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ไอ
-
มองเห็นไม่ชัดเจน
-
ปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยล้า
-
มีผื่นแดงขึ้นบริเวณที่โดนเห็บกัด
-
มีอาการทางระบบประสาท เช่น ชา ปากเบี้ยว เป็นต้น
หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนหากเชื้อแพร่ไปทั่วร่างกายแล้วและยังไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้มีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์หากมีอาการ เช่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ข้ออักเสบ ปวดข้อกระดูกโดยเฉพาะข้อเข่า หัวใจเต้นผิดจังหวะ มีอาการชาที่มือ แขน เท้าและขา มีอาการสมองตื้อ ความจำสั้น ความจำเสื่อมชั่วคราว สมาธิลดลงหรือมีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ และในบางคนเชื้ออาจแพร่ไปสู่หัวใจหรือสมองด้วย
ป้องกันโรคด้วยตัวเองได้
-
หลีกเลี่ยงบริเวณที่เห็บอาศัยอยู่ เช่น พุ่มหญ้าสูง พุ่มไม้ กองใบไม้ บริเวณป่า หากจำเป็นต้องทำงานบริเวณเหล่านี้ ควรใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าที่ปิดนิ้วเท้า เสื้อผ้าควรใส่สีสว่างเพื่อช่วยให้มองเห็นเห็บได้ง่าย และใช้ยาไล่แมลงที่มีส่วนผสมของ DEET (N, N-diethyl-meta-toluamide) 20 - 30% ทุกครั้งที่ต้องทำงานหรือไปเที่ยวในป่า
-
เก็บกวาดสนามหญ้าและกำจัดเศษใบไม้แห้งที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเห็บและแมลงต่างๆ
-
ดูแลสัตว์เลี้ยงและกำจัดเห็บออกจากสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากเห็บสู่คน
-
กำจัดเห็บทันทีที่เจอ และควรใส่ถุงมือเมื่อกำจัดเห็บและล้างมือให้สะอาดหลังจากเก็บเสร็จทุกครั้ง