หน้าร้อนพร้อมอาหารแสลงที่ยิ่งกิน ยิ่งร้อน!

หน้าร้อนพร้อมอาหารแสลงที่ยิ่งกิน ยิ่งร้อน!           หน้าร้อนที่สุดแสนจะร้อนระอุทั้งแดดเผา ลมร้อน ไอแดดนั้นทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติ เลยต้องหาวิธีคลายร้อนหรือตัวช่วยดีๆมาดับร้อนอย่างอาหาร หรือเครื่องดื่มเย็นๆ ผลไม้ฉ่ำๆมาช่วยคลายร้อนคงจะดี แต่! การทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มดับร้อนใช่ว่าจะตอบโจทย์ลดความร้อนในร่างกายได้ไปหมดซะทุกอย่าง อาหาร เครื่องดื่มบางอย่างทานช่วงหน้าร้อนมากไปก็ส่งผลเสียและยังทำให้ร้อนกว่าเดิม เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดโรคได้อีกด้วย ฉะนั้น มาดูกันว่าอาหารแสลงที่ไม่ควรทานมากไปช่วงหน้าร้อนมีอะไรบ้าง   เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มอย่างกาแฟ หรือชามีส่วนผสมของคาเฟอีนที่มีฤทธิ์ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกติ โดยการปัสสาวะก็เป็นการขับน้ำออกจากร่างกายเมื่อร่างกายขาดน้ำเราจะรู้สึกเพลียแดดได้ง่าย นอกจากนี้ ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นสมองทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น ซึ่งในวันที่ต้องออกไปทำงานกลางแจ้งควรงดดื่มกาแฟ หรือถ้าติดกาแฟจริงๆก็ควรดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไปเพื่อช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เคยรู้สึกกันบ้างไหม? เวลาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบที่เป็นอย่างนี้เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยาย หากดื่มในเวลาที่อากาศร้อนจัดก็มีโอกาสช็อกได้เลย นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับตับโดยตรง ซึ่งเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปเพิ่มความร้อนให้ตับ ทำให้ตับทำงานหนักขึ้นในการล้างพิษเหล้าจึงยิ่งเกิดการอักเสบขึ้นในตัวเราได้ ของทอด ของมัน อาหารทอดแสนอร่อยที่หลายๆคนชอบทานกันนั้นได้รับความร้อนมาจากน้ำมันที่ใช้ทอด และน้ำมันที่ทอดนี่เองที่ทำให้ร่างกายเราร้อน และเกิดการอักเสบได้ ส่วนของมันๆทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนม เนย วิปครีม ครีมเทียม ถือเป็นทรานส์แฟตที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการอักเสบและกระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ด้วยนะ ขนมหวาน ขนมหวานทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นลูกอม ขนมไทย ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้ก บิงซู […]

เตือนกันไว้ ฮีทสโตรก ภัยร้ายในอากาศร้อน

เตือนกันไว้ ฮีทสโตรก ภัยร้ายในอากาศร้อน      เข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มตัวกันแล้วเราก็ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรงและเตรียมรับมือเพื่อเผชิญกับอากาศที่ร้อนระอุของประเทศไทยให้ได้ไม่อย่างนั้นโรคต่างๆที่มาพร้อมความร้อนจะเป็นภัยที่ทำร้ายเราได้อย่าง โรคฮีทสโตรก ที่เป็นภัยเงียบ ซึ่งสามารถคร่าชีวิตคนได้เช่นกันแม้ร่างกายเราจะแข็งแรง แต่ถ้าไม่ดูแลตัวเองในหน้าร้อนให้ดีก็เสี่ยงเป็นโรคนี้ได้ โรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดด เป็นโรคที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิในร่างกายได้ ไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทันทีส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดและระบบสมอง สัญญาณเตือน ที่สังเกตง่ายๆได้ว่าเป็นฮีทสโตรกหรือไม่เพียงดูว่า ถ้าอากาศร้อนจัดแต่ไม่มีเหงื่อออก หน้าแดง ตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ ผิวแห้ง กระหายน้ำมาก อ่อนเพลีย ปวดหัว วิงเวียนมึนงง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจเร็วขึ้น เกร็งกล้ามเนื้อ ความรู้สึกตัวลดน้อยลง หัวใจเต้นเร็วแต่แผ่วเบา หรืออาจถึงขั้นหมดสติได้หากไม่รีบรักษาอาการให้ทันเวลา และแก้ไขอย่างถูกวิธี ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคฮีทสโตรก        ผู้สูงอายุ เด็ก คนที่อดนอนหรือนอนน้อย คนที่ดื่มเหล้าจัด คนที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น คนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน เป็นต้น พนักงานออฟฟิศ(ถ้านั่งในห้องแอร์เป็นเวลานานเมื่อออกมาเจอความร้อนข้างนอกแบบกะทันหันร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน) […]

รู้ไว้สักนิด! เพื่อเตรียมรับมือ “ไข้หวัดใหญ่”

    รู้ไว้สักนิด! เพื่อเตรียมรับมือ “ไข้หวัดใหญ่” ยังไม่ทันจะถึงฤดูฝนก็ได้ยินมาว่าไข้หวัดใหญ่กลับมาให้เราต้องเตรียมตัวรับมือกันซะแล้ว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนให้ประชาชนทั่วโลกเตรียมรับมือกับไข้หวัดใหญ่ที่คาดว่าจะมีผู้ที่ติดเชื้อกว่า พันล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่คนทุกเพศ ทุกวัยสามารถติดเชื้อได้ง่ายและอาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆหรือมีอาการแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ถ้าไม่รู้วิธีรักษาและป้องกัน สาเหตุการเกิดไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งเชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด เรียกว่า ชนิด A, B และ C แต่ละชนิดยังแบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยๆไปอีกมากมาย แต่สามารถแยกไข้หวัดใหญ่ในคนได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ “ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล” และ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่” ซึ่งเป็นต้นเหตุของการระบาดไปทั่วโลก โดยเชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย โดยปะปนหรือแพร่กระจายในอากาศ ซึ่งติดต่อด้วยการไอ จามหรือการสัมผัสสิ่งของ เครื่องใช้ที่มีเชื้อโรค สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิด H1N1 ที่กลายพันธุ์จากเชื้อไวรัสตัวเดิมทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกันและติดเชื้อในวงกว้าง อาการที่เป็นจะรุนแรงกว่า หรือทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในกลุ่มเสี่ยงอย่างคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ส่วนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว แต่เชื้อโรคมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ตลอดเวลา ทำให้คนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไปแล้วสามารถป่วยได้อีก อาการจะไม่รุนแรง เนื่องจากเรามีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง อาการของไข้หวัดใหญ่      ช่วงของระยะฟักตัว […]

5 วิธีง่ายๆ ถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า

      การจ้องหน้าจอมือถือ แท็บเล็ต หรือจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ รู้ใช่ไหมคะว่าพฤติกรรมเหล่านี้ทำร้ายสายตาของเรามากเลยทีเดียว ทั้งทำให้แสบตา ตาแห้ง ปวดกระบอกตา และบางรายอาจมีอาการมองเห็นภาพเบลอด้วยแต่ครั้นจะให้เลิกแชท เลิกใช้สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ไปเลยก็คงยาก ถ้าอย่างนั้นมีทางเดียวคือต้องรู้จักถนอมสายตาจากแสงสีฟ้าอันตรายเหล่านี้ ด้วยวิธีป้องกันแสงสีฟ้าง่าย ๆ ที่เรานำมาฝากนี่เลย  1. ปรับแสงสว่างความคมชัดของร่างกาย  ภายใต้ระดับความสว่างที่ 300-500 ลักซ์ หรือสังเกตได้ง่าย ๆ จากการที่เราไม่ต้องหรี่ตาเวลามองหน้าจอ รวมทั้งพยายามลดแสงสว่างบริเวณรอบ ๆ เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนลงบนหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 2. ทำความสะอาดหน้าจอ โดยเฉพาะฝุ่นละอองและรอยเปื้อนบนจอทั้งหลาย หากทำความสะอาดหน้าจอได้หมดจดจะช่วยลดทอนการเปล่งแสงสีฟ้าได้ด้วยนะ 3. กลอกตาซ้ายวนขาวต่อเนื่อง ข้างละ 10 วินาที เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ วิธีนี้จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก 4. ห่างจากหน้าจอคอม อย่างน้อยประมาณ 40 เซนติเมตร หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา เพราะหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย 5. ละสายตาจากหน้าจอคอม  ไม่ควรจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดนานเกิน 2 ชั่วโมงต่อครั้ง เพราะหากเล่นนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง อาจทำให้สายตาอ่อนล้าและปวดเกร็งได้   […]

วัณโรค โรคติดต่อที่ไม่ควรไว้ใจ

  สาเหตุ  เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผ่านการไอ จาม เสมหะจากคนสู่คนเข้าสู่ร่างกาย อาการ   ระยะแรกมักไม่แสดงอาการจากนั้นจะเริ่มไอเรื้อรังนาน 2 สัปดาห์ มีไข้ต่ำๆช่วงบ่าย เหงื่อออกเวลากลางคืน น้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว เบื่ออาหาร ไอมีเสมหะปนเลือด ป้องกัน การดูแลผู้ป่วย รักษาให้หายขาดเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ควรใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม แยกข้าวของเครื่องใช้ ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย รักษา วัณโรครักษาได้ด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ให้ครบ 6 – 8 เดือน ตามที่แพทย์กำหนด   สามารถสั่งซื้อหรือสอบข้อมูลเกี่ยวผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย เพื่อสุขภาพ ได้ที่ www.taradhealth.com โทร 062-595-3399 , 085-688-7890 ID Line: @taradhealth Facebook: TaradHealth เราเป็น “ภูมิแพ้” ได้ยังไงกันเหรอ ? 04/04/256531/05/2022adminข่าววิชาการ, ข่าวสุขภาพ, ความรู้ด้านสุขภาพ, รู้ทันโรค, อาหารเพื่อสุขภาพ, เนื้อหาทั้งหมดดูแลร่างกาย, สารก่อภูมิแพ้, โรคภูมิแพ้ […]

มะเร็งเต้านม โรคร้ายที่ป้องกันได้

  โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 37 ของมะเร็งทั้งหมด และยังมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปอด ดังนั้นการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง และการค้นพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรกในขณะที่ก้อนมีขนาดเล็ก และก้อนมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่เต้านม ยังไม่แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ จะมีโอกาสหายขาดมากขึ้น เมื่อเทียบกับการตรวจพบก้อน มะเร็งที่มีขนาดใหญ่ หรือกระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว โดยหากมีการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น มีโอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปีถึงร้อยละ 98 ถ้าตรวจเจอ ตอนก้อนมะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว มีโอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปีร้อยละ 84 และถ้าตรวจเจอ ตอนมะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว โอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปี มีเพียงร้อยละ 23 และยังไม่แพร่กระจายจะทำให้มีโอกาศรอดชีวิตสูง ก้อนขนาดเล็กก่อนที่จะรู้เรื่องมะเร็งท่านต้องทราบ เต้านมของคนเราประกอบไปด้วยไขมัน เนื้อเยื่อ ต่อมน้ำนมนมประมาณ 15-20 กลีบ ภายใน กลีบประกอบด้วยกลีบย่อย และมีถุงติดอยู่กับท่อน้ำนมซึ่งจะเปิดยังหัวนมภายในเต้านมยังมีหลอดเลือด และน้ำเหลืองซึ่งจะไปรวมกันยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ มะเร็งที่เกิดในท่อน้ำนมเรียกว่า ductal carcinoma เมื่อมะเร็งแพร่กระจายมักจะไปตามต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และอาจจะไปยังกระดูก ตับ ปอด และยังไปตามหลอดเลือด เต้านมคนเราเปลี่ยนแปลงตามอายุ […]

6 อาการเสี่ยง โรคโลหิตจาง

  เลือดจาง หรือ โลหิตจาง (Anemia) คือภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ดีเท่าที่ควร นำไปสู่อาการซีด วิงเวียนศีรษะ และอ่อนเพลีย เราอาจได้ยินคำว่า เลือดจาง หรือ โลหิตจาง กันอยู่บ่อยๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ภาวะโลหิตจางนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่เป็นมาแต่กำเนิด และเพิ่งเป็นภายหลัง ซึ่งแต่ละสาเหตุนั้นก็มีความรุนแรงต่างกันไป อาการของภาวะเลือดจาง การที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้ร่างกายขาดฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติตามมา เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ซีด ผิวหนังไม่มีเลือดฝาด วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว มึนงง และหน้ามืดบ่อย หายใจลำบาก และอาจมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นบางครั้ง ใจสั่น มือเท้าเย็น ซึ่งความรุนแรงและความถี่ในการเกิดอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และหากภาวะเลือดจางเกิดจากสาเหตุที่รุนแรงมาก ก็อาจอันตรายถึงขั้นเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิต สาเหตุของภาวะเลือดจาง การที่มีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยลงจนนำไปสู่ภาวะเลือดจางนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแบ่งได้เป็น 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ ร่างกายเสียเลือดมาก มีการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย และมีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ สาเหตุจากร่างกายเสียเลือดมาก เป็นสาเหตุของภาวะเลือดจางที่พบได้บ่อย โดยการเสียเลือดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือเกิดแบบเรื้อรังก็ได้ ยกตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้เสียเลือดมาก ได้แก่ การเกิดอุบัติเหตุ การตกเลือดจากการคลอดหรือแท้งบุตร การติดเชื้อพยาธิปากขอ เสียเลือดมากจากการมีประจำเดือน เป็นต้น สาเหตุจากมีการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ มีทั้งโรคที่เป็นมาแต่กำเนิด […]

ผัก 5 สี ป้องกันโรคร้ายได้อยู่หมัด

1.สีเขียว ต้านโรคมะเร็ง ต้านริ้วรอย ช่วยในการขับถ่าย ผักผลไม้ที่มีสีเขียว อาทิ กะหล่ำปลีสีเขียว, คะน้า, อะโวคาโด, แตงกวา, ผักโขม, ถั่วลันเตา, แอปเปิลสีเขียว, องุ่นเขียว ใครชอบแบบไหนเลือกทานตามใจชอบ 2.สีแดง บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง ลดการเกิดสิว ป้องกันมะเร็งได้ ผักผลไม้ที่มีสีแดง อาทิ มะเขือเทศ, หอมแดง,แอปเปิลสีแดง, สตรอว์เบอร์รี่, เชอรี่, ส้มโอสีชมพู, ทับทิม, องุ่นแดง, แตงโม 3. สีส้ม ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ลดไขมันในเลือด ผักผลไม้ที่มีสีส้ม อาทิ แครอท, ฟักทอง, ข้าวโพด, มันฝรั่งหวาน, พริกสีเหลือง, ส้ม, เสาวรส, มะม่วง, แคนตาลูป, มะละกอ 4. สีม่วง ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้เส้นผมเงางาม ผักผลไม้ที่มีสีม่วง อาทิ มะเขือม่วง, กะหล่ำปลีสีม่วง, มันสีม่วง, เผือก, ข้าวนิล 5. สีขาว […]

8 สุดยอด อาหารบำรุงเลือด

1.เลือด ตับ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ  หากเอ่ยถึงอาหารบำรุงเลือด หลายคนนึกถึงพวกเลือด ตับ และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง อาหารเหล่านี้มีสารประกอบฮีม (Heam Iron) ซึ่งร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ดี 2. ธัญพืช แป้ง ไข่ ผักใบเขียวเข้ม      แม้ธัญพืช แป้ง ไข่ และผักใบเขียวเข้มจะเป็นสารประกอบที่ไม่ใช่ฮีม (Nonheme Iron) แต่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ต้องอาศัยกรดเกลือในกระเพาะอาหารช่วยทำให้ธาตุเหล็กออกมาจากอาหารก่อน ร่างกายจึงจะดูดซึมไปใช้ได้ 3. อาหารทะเล ปลา เป็ด ไก่ ม้าม และไข่แดง      ใครที่ชอบกินอาหารทะเล โดยเฉพาะเมนูหอย ขอบอกเลยว่ามีธาตุเหล็กสูงมาก หรือพวกปลาทะเลก็ให้ธาตุเหล็กที่ดีต่อร่างกาย เช่น ปลาแซลมอนกระป๋องหรือทูน่ากระป๋อง หรือถ้าเบื่อ ๆ อาหารทะเลก็หันมากินพวกเป็ดหรือไก่ก็ได้นะคะ สำหรับคุณแม่ที่มีคุณลูกดื้อไม่ยอมกินตับหรือม้ามก็ให้กินไข่แดงแทนได้นะคะ 4. ซีเรียล ข้าวโอ๊ต ถั่วแดง ถั่วดำ อัลมอนด์ จมูกข้าวสาลี      […]

10 เมนู กระตุ้นระบบขับถ่าย

ใครที่ขับถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก หรือท้องผูกเป็นประจำคงต้องหาตัวช่วยเพื่อกระตุ้นลำไส้กันสักหน่อยเพื่อให้ถ่ายง่าย ถ่ายคล่องขึ้นกัน 1. ส้มตำ        ในส้มตำมีผลไม้แก้ท้องผูก อย่างมะละกอ แถมยังมีผักชนิดอื่น ๆ เช่น มะเขือเทศ และถั่วฝักยาวอยู่อีกต่างหาก เรื่องปริมาณไฟเบอร์ก็ไว้ใจเมนูนี้ได้เลย แต่จริงๆแล้วลำพังแค่มีมะละกอก็ช่วยแก้อาการท้องผูกได้อย่างมาก เพราะมะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่าๆที่ย่อยไม่หมดจนขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ คราวนี้ของเสียก็จะถูกลำเลียงอย่างคล่องปรู๊ดแล้วนั่นเอง 2. แกงส้มชะอมกุ้ง         ผักชะอมทำเมนูอะไรก็อร่อยไปหมดนะ แถมชะอมยังเป็นผักพื้นบ้านที่มีไฟเบอร์ทั้งชนิดละลายน้ำ และไม่ละลายน้ำ ซึ่งดีต่อการทำงานของลำไส้ เนื่องจากไฟเบอร์ในชะอมจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ของเรา การขับถ่ายของเสียจึงเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้นนั่นเอง 3. แกงเหลืองมะละกอกุ้ง        อีกหนึ่งเมนูมะละกอสำหรับคนชอบรสจัดจ้านที่นอกจากจะมีมะละกอเป็นตัวช่วยปลุกระบบขับถ่ายให้ทำงานด้วยความคล่องแคล่วแล้ว ในเมนูแกงเหลืองยังมีส่วนผสมของน้ำมะขามเปียกอีกด้วย เรียกได้ว่าผสานพลังความมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ กันอย่างจัดเต็มเลยทีเดียว 4. ยำ/ตำผลไม้         ถ้าจะให้ดีแนะนำให้เป็นตำหรือยำผลไม้ที่มีสับปะรด มะเฟือง แอปเปิ้ลเขียว แก้วมังกร และกีวีรวมอยู่ด้วยกัน เพราะผลไม้เหล่านี้ล้วนเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณแก้ท้องผูกทั้งนั้นเลยนะ 5. แกงขี้เหล็ก […]

1 4 5 6 7 8 16