จากเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ป่วยด้วย โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ทั้งๆที่เธอนั้นออกกำลังกายเป็นประจำและร่างกายแข็งแรงเหมือนคนทั่วๆไป และขณะที่ป่วยเธอก็ยังออกกำลังกายเพื่อหวังว่าจะดีขึ้นแต่เธอก็หนีไม่พ้นโรคร้ายที่ได้คร่าชีวิตเธอไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมีหลายปัจจัยมากแม้จะออกกำลังกายหรือร่างกายแข็งแรงก็สามารถติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งได้จากการไม่ใช้ช้อนกลาง ไม่ล้างมือ รวมถึงอีกหลายสาเหตุ เเว่นใสเลยจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเชื้อแบคทีเรียและปัจจัยเสี่ยงต่างๆของมะเร็งชนิดนี้กัน
กระเพาะอาหารกับโรคมะเร็ง
เกิดจากเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารมีการแบ่งจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติจนเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นในเยื่อบุผิวด้านในกระเพาะอาหาร หรือเรียกว่าเป็น “มะเร็งกระเพาะอาหาร” นั่นเอง โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของกระเพาะอาหาร และยังสามารถกระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นได้ด้วย ซึ่งมะเร็งกระเพาะอาหารส่วนใหญ่เกิดจากหลายสาเหตุ แต่การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (หรือ H.pylori) ที่มาจากสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้เกิดและไม่เกิดโรคมะเร็งก็ได้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรังพร้อมกับการรับสารก่อมะเร็งที่คนป่วยภูมิคุ้มกันไม่ดีไม่สามารถกำจัดเซลล์กลายพันธุ์ได้จนทำให้เกิดเป็นมะเร็งในที่สุด
เชื้อ H.pylori คือ?
Helicobacter pylori หรือ H.pylori เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหารจึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆตามมาได้ โดยติดต่อระหว่างคนสู่คนผ่านการทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย H.pylori แล้วเชื้อจะเข้าไปปล่อยเอนไซม์และสารพิษต่างๆ ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง ซึ่งส่งผลทางตรงและทางอ้อมต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น จนเป็นเหตุให้กรดในกระเพาะอาหารที่มีความเข้มข้นรวมทั้งน้ำย่อยทำลายเนื้อเยื่อกระเพาะ และลำไส้เล็กรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเกิดการอักเสบ เกิดแผลในกระเพาะ และการระคายเคืองเรื้อรังขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
สาเหตุของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดมาจากสาเหตุใด แต่ปัจจัยที่จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคนั้นมีหลายอย่างด้วยกัน คือ
-
อายุ ผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป หรือยิ่งอายุมากขึ้นโอกาสเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารก็มากขึ้นเช่นกัน
-
พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมาก่อน เราก็มีโอกาสเป็นเหมือนกัน
-
เพศ โดยผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่าเลย
-
อาหาร อย่างอาหารหมักดอง ตากเค็ม รมควัน ปิ้งย่างจะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหารได้มากขึ้น
-
สิ่งแวดล้อม หากเราสัมผัสกับฝุ่นและสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานานก็ก่อให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น
-
พฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ไม่ค่อยทานผักผลไม้ ไม่ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และเมื่อมีการทานอาหารร่วมกันแล้วไม่ใช้ช้อนกลาง
-
ติดเชื้อแบคทีเรีย H.pylori จากสิ่งแวดล้อมเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบ ระคายเคือง และเกิดแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย
สาเหตุการติดเชื้อ H.pylori
การจะติดเชื้อ H.pylori ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่มีข้อบ่งชี้ว่าเกิดจากการสัมผัสเชื้อแล้วนำเข้าปากโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งการดื่มน้ำและการทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป โดยการกินอาหารร่วมกันแบบไม่ใช้ช้อนกลาง ไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหาร ดื่มน้ำจากหลอดหรือแก้วเดียวกันก็มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อแบคทีเรียนี้ต่อๆกันไปได้ และจะยิ่งมีความเสี่ยงสูงเมื่อต้องอาศัยร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่แออัด ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้ออย่างไม่รู้ตัวได้ง่ายมาก โดยการติดเชื้อ H.pylori จะเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น 3 – 5 เท่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งเชื้อนี้อาจทำให้เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารหรืออาจไม่เป็นก็ได้
อาการที่จะพบเมื่อป่วย
ระยะแรกของมะเร็งกระเพาะอาหารจะไม่ค่อยแสดงอาการของโรค แต่เมื่อระยะของโรคพัฒนาขึ้นอาจมีอาการที่ไม่รุนแรงแต่จะมีอาการคล้ายกับโรคอื่นๆ เช่น โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคไวรัสลงกระเพาะอาหาร จนอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย แสบร้อนกลางอก แน่นท้องหลังทานอาหาร ปวดท้อง กลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน โลหิตจาง เป็นต้น ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะหากตรวจพบเร็วจะทำการรักษาได้ง่ายกว่า
แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการลุกลามมากขึ้นจะมีอาการรู้สึกไม่สบายท้องโดยเฉพาะช่องท้องบริเวณส่วนบนและตรงกลาง มีเลือดปนในอุจจาระ อาเจียนโดยอาจมีเลือดปนได้ น้ำหนักตัวลดลง ปวดท้องหรือท้องอืดหลังทานอาหาร ปวดหรือจุกที่ลิ้นปี่ รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียจากโลหิตจาง ดีซ่านโดยมีอาการผิวและตาเหลือง
ตรวจหามะเร็งกระเพาะอาหาร
-
ซักประวัติเบื้องต้น และถามประวัติครอบครัวว่าเคยเป็นมะเร็งหรือไม่ และตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติ เช่น ตรวจทวารหนัก ตรวจอาการที่แสดงถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร ตรวจต่อมน้ำเหลือง ตรวจท้อง
-
วินิจฉัยด้วยการตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น เป็นการตรวจโดยให้กลืนน้ำที่ผสมด้วยแป้งแบเรียม(แป้งทึบแสง) ให้เข้าไปเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก และเอกซเรย์เพื่อหาเนื้อร้ายและความผิดปกติอื่นๆในช่องท้อง
-
ส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร ส่องเข้าไปทางปากเพื่อมองภาพกระเพาะอาหาร ถ้าพบสิ่งผิดปกติจะตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีดีที่สุดในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
-
ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ทำหลังการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร เพื่อประเมินและกำหนดระยะของมะเร็งว่าถึงระยะไหนแล้ว
-
ทดสอบอื่นๆ เพื่อตรวจความรุนแรงของมะเร็ง เช่น การสแกนกระดูก ตรวจความเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี
ป้องกันโรคร้าย
เมื่อยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้น การป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหารจึงไม่สามารถป้องกันได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงและลดโอกาสในการเกิดโรคได้ โดย
-
เมื่อต้องทานอาหารร่วมกันควรใช้ช้อนกลาง และล้างมือก่อนทานอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจปนเปื้อนมาในอาหารโดยที่เราไม่รู้ตัว
-
ควรทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ
-
ทานผัก ผลไม้เพื่อช่วยเพิ่มเส้นใยอาหารและวิตามินให้กับร่างกาย
-
เลี่ยงการทานอาหารประเภทหมักดอง ตากเค็ม หรืออาหารรสเค็มจัด อาหารรมควัน
-
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
-
ผ่อนคลายอารมณ์ ลดความกังวล และความเครียด
-
ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งชนิดอื่นๆ
-
เลี่ยงการอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่ต้องเจอฝุ่นหรือมลภาวะ รวมถึงสารเคมีเป็นเวลานาน
-
ควรปรึกษาแพทย์หากพบว่ามีความเสี่ยงของการเกิดโรคเพื่อป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ